Friday, June 6, 2014

สนามฟุตบอลมาราคาน่า - ริโอ เดอ จาเนโร สนามรอบชิงฟุตบอลโลก

สนามฟุตบอลมาราคาน่า
พาทุกท่านมาชมสนามฟุตบอลมาราคาน่า ในกรุงริโอ เดอ จาเนโร ที่เคยใช้แข่งขันฟุตบอลคอนเฟเดอเรชั่นส์ คัพ ปี 2013 และจะใช้แข่งขันฟุตบอลโลก 2014
ชื่อสนาม: สนามกีฬานักหนังสือพิมพ์มารีอู ฟิลยู

รู้จักกันดีในชื่อ: สนามฟุตบอลมาราคาน่า

ที่ตั้ง: ริโอ เดอ จาเนโร

ความจุ: 76,804 ที่นั่ง

เปิดให้ใช้งาน: ปี 1950
คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากสนามฟุตบอลมาราคาน่าจะถูกใช้เป็นสังเวียนสำหรับนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2014 เพราะนี่คือสนามฟุตบอลที่มีชื่อเสียงที่สุดในบราซิล โดยการเตรียมพร้อมสำหรับฟุตบอลโลกครั้งนี้ สนามจะถูกปรับปรุงเพื่อให้ผู้ชมสามารถชมเกมการแข่งขันได้ชัดเจนขึ้น และลดความจุของจำนวนที่นั่งลงด้วย
สนามฟุตบอลมาราคาน่าถูกสร้างขึ้นสำหรับฟุตบอลโลกปี 1950 ที่บราซิล จึงใช้แข่งในนัดสำคัญของบราซิลโดยเฉพาะ โดยนัดชิงชนะเลิศที่บราซิลเอาชนะอุรุกวัยได้ 2-1 ก็แข่งขันกันที่สนามฟุตบอลแห่งนี้
ในนัดชิงแห่งความทรงจำนั้น มีแฟนบอลมาเข้าชมราว 200,000 คนทีเดียว และถึงแม้จะลดความจุของที่นั่งลงแล้ว สนามมาราคาน่าก็ยังติดอันดับสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยโครงสร้างแบบเดิมที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป
สนามฟุตบอลแห่งนี้เปิดให้ใช้อีกครั้งหลังปรับปรุงในเดือนเมษายน 2013 ด้วยการจัดแข่งขันฟุตบอลแมตช์รำลึก โดยมีนักฟุตบอลตำนานของบราซิลมาแข่งขันกัน นำโดยอดีตแข้งตำนานอย่างโรนัลโด้และเบเบโต้

ประวัติ Cesc Fabregas

เชส ฟราเบรกัส
ถ้าจะพูดถึงทีมที่เด่นที่สุดในทัวร์นาเมนต์ ยูโร 2008 ก็ย่อมหนีไม่พ้นทีมกระทิงดุสเปน ที่เล่นได้อย่างสวยงามและเร้าใจตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ โดยเฉพาะแผงมิดฟิลด์ที่เรียกได้ว่าเป็นกลจักรสำคัญของทีมกระทิงดุเลยก็ว่าได้ โดยในวันนี้ขอยกหนึ่งในกองกลางที่เล่นได้เด่นที่สุดของทีมชาติสเปน มาแนะนำแล้วกันครับ เขาคนนั้นก็คือ เชส ฟาเบรกาส กองกลางดาวรุ่งจากสโมสรอาร์เซนอล
เชสนั้นเดิมทีเป็นเด็กฝึกของสโมสรบาร์เซโลน่า ซึ่งคาดว่าถึงตอนนี้ทีมเจ้าบุญทุ่มคงต้องมานั่งกุมขมับเป็นแน่แท้ว่าปล่อยเพชรน้ำงามของทีมออกมาได้อย่างไร โดยฟาเบรกาสออกจากบาร์เซโลน่า ตอนที่มีอายุแค่ 15 ปีเท่านั้น
เชส ใช้เวลาเพียงแค่ปีเดียวก็ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของอาร์เซนอลได้สำเร็จ โดยเกมประเดิมสนามของเขาเป็นเกมที่อาร์เซนอล พบกับ ร็อทเทอร์แฮม ยูไนเต็ด ในปี 2003 ส่งผลให้เขาเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้ลงเล่นในสีเสื้อของอาร์เซนอล ด้วยอายุ 16 ปี 177 วัน ก่อนที่จะกลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ประวัติศาสตร์ด้วยวัย 17 ปี ในเกมที่เอาชนะวูลฟ์ 5-1 ในเกมคาร์ลิง คัพ
แม้ว่าอาร์เซนอลจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ด้วยการไม่แพ้ใครเลยตลอดฤดูกาล แต่ว่า ฟาเบรกาส ไม่ได้เหรียญรางวัลในปีดังกล่าวแต่อย่างใดเนื่องจากว่า เขาไม่ได้ลงเล่นในเกมลีกเลยแม้แต่เกมเดียว
ในปีถัดมาฟาเบรกาส ก้าวขึ้นมาเป็นตัวจริงให้กับอาร์เซนอลอย่างเต็มตัว เนื่องจากการบาดเจ็บชอง ปาทริค วิเอร่า กัปตันทีมปืนโต โดยเกมที่แจ้งเกิดเชส ฟาเบรกาส ได้อย่างเต็มตัว ก็คือเกมที่ อาร์เซนอล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-1 ในศึกชิงโล่ห์ การกุศล คอมมูนิตี้ ชิลด์ ปี 2004 และนับจากนั้นเขาก็กลายเป็นตัวหลักของอาร์เซนอลด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น
และจากการอำลาถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดียม ของปาทริค วิเอร่าในปี 2005 กัปตันทีม หลายคนคิดว่าทีมอาร์เซนอลคงจะมีผลงานที่ย่ำแย่ในฤดูกาลนั้นอย่างแน่นอน แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่ออาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือของทีม ตัดสินใจให้ฟาเบรกาส เป็นจอมทัพของทีมปืนใหญ่อย่างเต็มตัว จนผลงานของทีมติดลมบน ฝ่าด่านทั้งเรอัล มาดริด และ ยูเวนตุส เข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ก่อนที่จะแพ้บาร์เซโลน่า ไปอย่างน่าเสียดาย 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศ
จากผลงานที่ผ่านมาก็ทำให้ฟาเบรกาส ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะระดับหัวแถวของยุโรป และได้รับความสนใจจากสโมสรยักษ์ใหญ่ทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรอัล มาดริด ที่พร้อมจะทุ่มเงินมหาศาลคว้าตัวฟาเบรกาส กลับไปเล่นในประเทศสเปนอีกครั้ง
แต่ฟาเบรกาสก็ตัดสินใจปัดข้อเสนอยั่วน้ำลายของทีมบ้านเกิดด้วยการต่อสัญญากับอาร์เซนอลออกไป แม้ว่าค่าเหนื่อยอาจจะได้ไม่เท่า แต่ก็ได้มาซึ่งความสบายใจ เพราะว่าเขาต้องการเล่นให้กับอาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือผู้ให้โอกาสเขามากกว่า
ในฤดูกาล 2007/2008 ที่ผ่านมา ฟาเบรกาส เกือบที่จะพาอาร์เซนอล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี แต่ว่ากลับมาตกม้าตายในช่วงท้ายฤดูกาล จนโดนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แซงคว้าแชมป์ไปอย่างน่าเจ็บปวด
ส่วนผลงานในระดับชาติ ฟาเบรกาส นั้นเริ่มต้นโด่งดังมาตั้งแต่เล่นในระดับเยาวชนแล้ว โดยเล่นให้สเปนชุด ยู 17 คว้าตำแหน่งรองแชมป์ โลกที่ประเทศฟินแลนด์ โดยในครั้งนั้นฟาเบรกาส เป็นดาวซัลโว ประจำทัวร์นาเมนต์ด้วยจำนวน 5 ประตู และได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำรายการอีกด้วย
ส่วนผลงานในทีมชุดใหญ่ของสเปน เขาจะหนักไปทางตัวสำรองซะมากกว่า แต่ในยูโร 2008 ครั้งนี้เขากลายเป็นตัวทีเด็ดของหลุยส์ อราโกเนส กุนซือทีมชาติสเปน โดยลงมาพลิกเกมได้หลาย ๆ ครั้ง โดยเฉพาะในเกมที่สเปนเจอกับอิตาลี และ รัสเซีย ในรอบน็อกเอาต์ ฟาเบรกาสถูกเลือกให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมทั้งสองเกม ที่เลือกโดยสื่อมาร์ก้า ที่เทคะแนนให้เชส อย่างท่วมท้น ในฐานะกลจักรสำคัญที่พาทีมกระทิงดุมีลุ้นแชมป์รายการระดับเมเจอร์เป็นครั้งแรกในรอบ 44 ปี
ในศึกทัวร์นาเม้นต์ ยูโร 2008 เชสลงสนามเกมส์แรกในฐานะตัวสำรอง เขาถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนตอเรส และซัดประตูทิ้งท้ายในช่วงทดเวลา ช่วยให้สเปนฝังรัสเซีย 4-1
เข้ามาถึงรอบน็อคเอาท์ สเปนเสมอในเวลากับทีม อิตาลี 0-0 และในการดวลจุดโทษกันนั้น ก็เป็นเชส ที่ยิงทิ้งท้ายให้ทีมดวลจุดโทษชนะไป 4-3 พาทีมเข้ารอบจนดระทั่งได้แชมป์มาในท้ายที่สุด

ประวัติ เวย์น รูนี่ย์ (Wayne Rooney)

ประวัติ เวย์น รูนี่ย์ (Wayne Rooney)

ประวัติ เวย์น รูนี่ย์ (Wayne Rooney)



เวยน์ รูนี่ย์ "เปเล่ขาวของชาวอังกฤษ"

เวย์ น รูนี่ย์ มีชื่อเต็มว่า เวย์น มาร์ค รูนี่ย์ เกิดเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ปี 1985 ที่เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ และเขาก็เริ่มต้นอาชีพนักเตะด้วยการเข้าร่วมทีมเยาวชนของเอฟเวอร์ตัน อีกหนึ่งสโมสรดังในเมืองลิเวอร์พูล

ด้วย ฝีเท้าที่ฉกาจกรรจ์เกินวัย บวกกับพรสวรรค์ที่มีอยู่เต็มเปี่ยม ทำให้ รูนี่ย์ เติบโตขึ้นในวงการลูกหนังได้อย่าง ไม่อยากเย็น โดยตอนที่อายุ 14 ปี เขาก็ได้เลื่อนขึ้นมาเล่นในทีมเยาวชนชุดไม่เกินอายุ 19 ปี แล้ว และสามารถรับมือกับบรรดานักเตะที่อายุมากกว่าได้สบายๆ

ในวัย 16 ปี เขาก็โดน เดวิด มอยส์ กุนซือของเอฟเวอร์ตัน ดึงตัวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่แล้ว และก็แจ้งเกิดในพรีเมียร์ลีก ด้วยการซัดประตูสุดสวยช่วยให้ เอฟเวอร์ตัน เอาชนะ อาร์เซน่อล ไปได้ 2-1 เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2002 และประตูชัยของรูนี่ย์ ก็หยุดสถิติไม่พ่ายแพ้มานานถึง 30 นัด ของ อาร์เซน่อล ลงไปได้

เท่านั้นยังไม่พอ รูนี่ย์ ยังมาทำลายสถิติเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ ด้วยวัย 17 ปี กับ 111 ในตอนที่เขาลงสนามในนัดที่ อังกฤษ พบกับ ออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ปี 2003 ทำลายสถิติเดิมของ เจมส์ ปรินเซป ที่ยาวนานมากว่า 124 ปี ลงได้


หลังจากนั้นอีก 7 เดือน เขาก็กลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูให้กับทีมชาติอังกฤษได้ เมื่อยิงประตู มาเซโดเนีย ได้สำเร็จ ในการทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 2004 รอบคัดเลือก โดยตอนนั้นเขามีอายุ 17 ปี กับอีก 317 วัน
โคลิน ฮาร์วี่ย์ อดีตโค้ชของรูนี่ย์ ในทีมเยาวชนของเอฟเวอร์ตัน เคยกล่าวไว้ว่านามฟุตบอลก็เหมือนสนามเด็กเล่นของรูนี่ย์ เขาสนุกกับมัน และวิงพล่านไปทั่วสนาม ถึงแม้ว่าจะเป็นกองกน้า แต่ก็ลงไปช่วงล้วงบอล แย่งบอลในแผงกองกลางอยู่เสมอ แถมบางทียังโผล่ไปช่วยเกมรับอีกด้วย

รู นี่ย์ แจ้งเกิดในระดับนานาชาติได้อย่างเต็มตัว ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รอบสุดท้าย ปี 2004 ที่ประเทศโปรตุเกส เป็นเจ้าภาพ เมื่อเขาเล่นได้อย่างโดดเด่น และทำได้ 4 ประตู พา อังกฤษ ผ่านเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ไปพบกับ โปรตุเกส และความหวังของ อังกฤษ ก็พังทลายลงเมื่อ รูนี่ย์ ได้รับบาดเจ็บ จนถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม และ อังกฤษ ที่ไร้ รูนี่ย์ ก็แพ้ โปรตุเกส ไปในที่สุด ในการดวลจุดโทษ

หลัง จากที่โด่งดังขึ้นมากับ เอฟเวอร์ตัน ในที่สุด รูนี่ย์ ก็โดนทีมยักษ์ใหญ่ อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทุ่มเงินถึง 27 ล้านปอนด์ กระชากตัวมาร่วมทีม ซึ่งตอนแรกๆใครๆก็คิดว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสี่ยงไปไหมในการทุ่มเงินจำนวนดังกล่าว เพื่อนักเตะที่อายุยังไม่ถึง 20 ปี คนหนึ่ง

แต่ในท้ายที่สุด รูนี่ย์ ก็แสดงให้เห็นว่าเงินจำนวนนั้น ไม่ได้แพงเกินฝีเท้าของเขาเลย เมื่อเขาทำแฮตทริกได้ทันทีในการลงสนามให้กับ “ปีศาจแดง” ในนัดที่เอาชนะ เฟเนร์บาห์เช่ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนจะจบฤดูกาล 2004/2005 ด้วยการลงสนามไป 29 นัด ทำได้ 11 ประตู ในฐานะของกองหน้าตัวต่ำ และคว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของอังกฤษ มาครองได้

ในฤดูกาล 2005/2006 รูนี่ย์ ก็ยังทำผลงานได้ดี จนพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีก คัพ มาครอง ด้วยการเอาชนะ วีแกน 4-0 ในรอบชิงชนะเลิศ โดยที่ รูนี่ย์ ทำได้ 2 ประตู และนี่ก็คือแชมป์รายการแรกในอาชีพค้าแข้งของเขา

รู นี่ย์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเตะที่พรสวรรค์สูงที่สุดของอังกฤษ นับตั้งแต่หมด พอล แกสคอยน์ กองกลางอัจฉริยะของพวกเขา แต่กว่า แกซซ่า จะติดทีมชาติก็อายุ 22 ปีแล้ว ขณะที่ รูนี่ย์ เป็นกำลังสำคัญของทีม “สิงโตคำราม” ตั้งแต่อายุ 18 ปี
สเวน โกรัน อีริคส์สัน เคยกล่าวยกย่อง รูนี่ย์ ว่าจะกลายเป็นตำนานลูกหนังของโลก เช่นเดียวกับ เปเล่ ของบราซิล โดยที่ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ กุนซือทีมชาติโปรตุเกส ตอบคำถามนักข่าวที่ถามถึงการเปรียบเทียบกันระหว่าง เปเล่ กับ รูนี่ย์ ว่า “ก็แค่คนหนึ่งผิวดำ ส่วนอีกคนหนึ่งผิวขาว เท่านั้น” จนทำให้แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บางกลุ่ม เรียก รูนี่ย์ ว่า “เอล บลังโก้ เปเล่”

รูนี่ย์ เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยพา อังกฤษ ผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2006 แม้ว่าเขาจะยิงประตูไม่ได้ แต่ก็ช่วยสร้างสรรค์เกม และจ่ายบอลให้กับเพื่อนร่วมทีมหาจังหวะทำประตูได้

อย่าง ไรก็ตาม รูนี่ย์ กลับพบโชคร้าย เมื่อได้รับบาดเจ็บกระดูกฝ่าเท้าขวาแตก ในการลงสนามนัดที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้ เชลซี 0-3 ในศึกพรีเมียร์ชิพ เมื่อวันที่ 29 เมษายน ที่ผ่านมา และคาดว่าเขาจะต้องพักอย่างน้อย 6 สัปดาห์ หรือกว่าจะฟิตสมบูรณ์กลับมาลงสนามได้ในฟุตบอลโลก ก็ต่อเมื่อจบรอบแรก ไปแล้ว แต่ สเวน โกรัน อีริคส์สัน กุนซือทีมชาติอังกฤษ ก็ยังมั่นใจในตัวลูกทีมรายนี้ และใส่ชื่อเขาไปลุย เยอรมัน 2006 แม้ว่าจะโดนวิจารณ์อย่างหนัก นั่นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ รูนี่ย์ ได้เป็นอย่างดี

แหล่งข้อมูล
http://football.sanook.com

Tuesday, June 3, 2014

ความฝันพังทะลาย!! หลุยส์ มอนเตส กองกลางทีมชาติเม็กซิโก สุดโชคร้ายขาหักในเกมส์อุ่นเครื่องที่เม็กซิโก

Bo TPPgCAAAm893 Mexicos Luis Montes had his leg bent like a banana in a shocking injury v Ecuador, WC dream is over [Pictures]
Luis Montes / หลุยส์ มอนเตส
ความฝันพังทะลาย!! หลุยส์ มอนเตส กองกลางทีมชาติเม็กซิโก สุดโชคร้ายขาหักในเกมส์อุ่นเครื่องที่เม็กซิโก พบกับเอกวาดอร์ โดย มอนเตส ทำประตูให้เม็กซิโก ขึ้นนำไปก่อน 1-0 แต่ให้หลังมาไม่กี่นาที แข้งวัย 28 ปีก็ได้รับบาดเจ็บในจังหวะปะทะกับผู้เล่นของเอกวาดอร์ จนขาหักผิดรูปอย่างสยดสยอง ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะพลาดไปศึกเวิร์ล คัพ 2014 ที่ประเทศบราซิล
Mexico’s Luis Montes had his leg bent like a banana in a shocking injury v Ecuador, WC dream is over [Pictures]
Mexico’s Luis Montes looks destined to miss the World Cup after a horrible injury against Ecuador on Saturday night.
Bo TUK5IYAEd6NH Mexicos Luis Montes had his leg bent like a banana in a shocking injury v Ecuador, WC dream is over [Pictures]
Bo TSBkIcAIQ M1 Mexicos Luis Montes had his leg bent like a banana in a shocking injury v Ecuador, WC dream is over [Pictures]
Bo SuGrCIAAQT53 Mexicos Luis Montes had his leg bent like a banana in a shocking injury v Ecuador, WC dream is over [Pictures]

Friday, May 30, 2014

เกร็ดน่ารู้ World Cup 2014 ที่บราซิล

ฟุตบอลโลก 2014

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก fifa.comเฟซบุ๊ก Fuleco

          ฟุตบอลโลก 2014 บราซิล World Cup 2014 เริ่มเปิดการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2014 วันที่ 12 มิ.ย. นี้ 
          ทันทีที่การแข่งขันฟุตบอล "คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ 2013" หรือรายการฟุตบอลที่เรียกได้ว่าเป็น "ฟุตบอลโลกฉบับจิ๋ว" จบลง นั่นหมายความว่า ไม่ถึง 1 ปีเท่านั้น การแข่งขัน "ฟุตบอลโลก 2014" ที่บราซิล จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว ว่าแต่ ฟุตบอลโลก 2014 (World Cup 2014) จัดที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร วันนี้เรามีเกร็ดความรู้เรื่องนี้มาฝาก 

 วัน เวลา สำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 (World Cup 2014) 

          เมื่อการแข่งขันฟุตบอลรายการใหญ่ มาถูกจัดขึ้นในทวีปอเมริกาใต้ คนไทยหลายคนคงปวดหัวไม่น้อย เพราะว่าด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ที่มีที่ตั้งห่างจากประเทศไทยมาก ทำให้เวลาในการดูฟุตบอลไม่เอื้ออย่างแรง!!!

          ฟุตบอลโลก 2014 จะเริ่มเปิดสนามในวันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน 2557 เวลา 17.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ซึ่งถ้าเป็นเวลาในประเทศไทยก็เป็นเวลา 03.00 น. โดยเป็นการพบกันระหว่างเจ้าภาพ "บราซิล" กับ "ทีมที่ถูกจับสลากมาอยู่กลุ่ม เอ2"

          ส่วนนัดชิงชนะเลิศ จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม 2557 เวลา 16.00 น. (เวลาท้องถิ่น) หรือ 02.00 น. (เวลาประเทศไทย)

          ทั้งนี้ เวลาที่ใช้ในการแข่งขันตลอดทั้งทัวร์นาเมนท์ ตามเวลาประเทศไทย มีดังนี้ 23.00 น., 02.00 น., 03.00 น. และ 05.00 น. ซึ่งเวลาแข่งขันในตีสามและตีห้านี่แหละ จะเป็นสิ่งที่น่าปวดหัวสำหรับคนไทยที่สุด เพราะบอลจบปึ๊บ ก็ออกไปเรียนหรือทำงานปั๊ป ไม่มีเวลาให้งีบหลับเลย

 เส้นทางการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2014 (World Cup 2014) ของบราซิล

          การคัดเลือกเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2014 ทางสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ ได้กำหนดให้ประเทศจากทวีปอเมริกาใต้ เสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ซึ่งฟุตบอลโลกครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ใช้ระบบหมุนเวียนทวีป หลังจากที่ใช้ครั้งแรกในฟุตบอลโลก 2010 กับทวีปแอฟริกา เนื่องจากมองว่า ระบบหมุนเวียนทวีป จะทำให้มีช่องว่างระหว่างประเทศที่เข้าร่วมสมัครกันเป็นเจ้าภาพมากเกินไป หลังจากนี้จะเปลี่ยนแปลงกฎเป็นว่า ทุกชาติสามารถเสนอตัวเป็นเจ้าภาพได้ ยกเว้นชาติที่มาจากทวีปที่ได้จัดฟุตบอลโลกครั้งก่อนหน้า

          สำหรับประเทศที่เข้าร่วมสมัครเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ มี 3 ประเทศ ได้แก่ บราซิล, อาร์เจนติน่า และโคลอมเบีย สุดท้ายอาร์เจนติน่าและโคลอมเบีย ต่างถอนตัวจากการเป็นเจ้าภาพ ทำให้สิทธิ์การเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2014 ตกเป็นของบราซิลทันทีโดยไม่มีการโหวต
          การเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกของบราซิลในครั้งนี้ จะเป็นครั้งแรกในรอบ 36 ปีที่ฟุตบอลโลกกลับมาจัดที่ทวีปอเมริกาใต้อีกครั้ง หลังจากครั้งล่าสุดจัดขึ้นที่อาร์เจนติน่า ค.ศ. 1978 และเป็นครั้งแรกในรอบ 64 ปี ที่ฟุตบอลโลกจัดขึ้นที่บราซิล โดยครั้งแรกนั้นจัดเมื่อ ค.ศ. 1950

 จำนวนทีมที่เข้าร่วมแข่งฟุตบอลโลก 2014 (World Cup 2014)
มีทั้งหมด 32 ทีม แบ่งโควต้าออกเป็น ดังนี้

           ทวีปยุโรป 13 ทีม
          
 ทวีปแอฟริกา 5 ทีม
          
 ทวีปอเมริกาใต้ 5.5 ทีม (รวมเจ้าภาพบราซิล)
          
 ทวีปเอเชีย 4.5 ทีม
          
 ทวีปอเมริกาเหนือ 3.5 ทีม
          
 โซนโอเชียเนีย 0.5 ทีม

          ทั้งนี้ .5 ทีม นั้นหมายถึง จะต้องมีการแข่งขันเพลย์ออฟข้ามทวีป ผลการจับสลากเพลย์ออฟ มีดังนี้

           อันดับ 5 ทวีปเอเชีย (อุซเบกิสถาน หรือ จอร์แดน) พบ อันดับ 5 ทวีปอเมริกาใต้
          
 อันดับ 4 ทวีปอเมริกาเหนือ พบ แชมป์จากโอเชียเนีย (นิวซีแลนด์)

ฟุตบอลโลก 2014

 สนามที่ใช้แข่งขันฟุตบอลโลก 2014 (World Cup 2014)
          ใช้ทั้งหมด 12 สนาม จากการแข่งขันทั้งหมด 64 นัด โดยนัดเปิดสนามจะเตะกันที่เซา เปาโล ส่วนนัดชิงชนะเลิศจะเตะที่สนามมาราคาน่า เมืองริโอ เดอ จาไนโร เมืองหลวงเก่าของบราซิล ซึ่งเป็นสนามที่มีความจุมากที่สุดในการแข่งขันครั้งนี้ คือ 76,935 คน (ในปี 1950 สนามแห่งนี้จุได้ถึง 2 แสนคน เนื่องจากสมัยก่อนนั้นการดูฟุตบอลในสนามจะเป็นการยืนดู)

 การจับสลากแบ่งสายฟุตบอลโลก 2014 (World Cup 2014)

          สิ่งที่น่าสนใจอีกสิ่งหนึ่งนอกเหนือจากการแข่งขันแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นการจับสลากแบ่งสายว่าทีมใดจะได้อยู่กลุ่มใด และผลการจับสลากแบ่งสายสามารถเก็งเส้นทางการลุ้นแชมป์ในรอบถัดไปของแต่ละทีมได้อีกด้วย โดยการจับสลากนี้จะจับสลากในวันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2556 เวลา 13.00 น. (เวลาท้องถิ่น) หรือ 23.00 น. (เวลาประเทศไทย)

 โลโก้ฟุตบอลโลก 2014 (World Cup 2014)
          โลโก้ของการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 มีชื่อว่า "Inspiration" ซึ่งหากแปลเป็นภาษาไทยแล้ว หมายถึง แรงบันดาลใจ โดยโลโก้นี้มีลักษณะเป็นรูปมือ 3 มือ คือ สีเขียวและเหลือง (สีประจำชาติบราซิล) ประกอบกันเป็นถ้วยฟีฟ่า เวิล์ด คัพ พร้อมกับมีตัวเลข 2014 สีแดง อยู่ตรงกลางโลโก้

 สโลแกนฟุตบอลโลก 2014 (World Cup 2014)

          All in One Rhythm เป็นสโลแกนอย่างเป็นทางการของฟุตบอลโลก 2014 มีความหมายว่า ทุกสิ่งทุกอย่างสอดคล้องกันเป็นหนึ่งเดียว


ฟุตบอลโลก 2014

 มาสค็อตฟุตบอลโลก 2014 (World Cup 2014)

          มาสคอตที่ใช้ในการแข่งขันครั้งนี้เป็น ตัวนิ่ม ซึ่งเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ในประเทศบราซิล มีชื่อว่า Fuleco ได้รับการโหวตถึงร้อยละ 48 ของผู้ที่ร่วมโหวตทั้งหมดจำนวน 1.7 ล้านคน รองลงมาคือ Zuzeco ร้อยละ 31 และ Amijubi ร้อยละ 21

 ลูกฟุตบอลที่ใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 (World Cup 2014)

          บริษัทอดิดาส ยังคงเป็นผู้ผลิตฟุตบอลที่ใช้ในการแข่งขันเหมือนเดิม โดยชื่อฟุตบอลที่ใช้ในครั้งนี้มีชื่อว่า Brazuca ได้รับการโหวตจากแฟนบอลบราซิลถึงร้อยละ 77.8 จากทั้งหมด 1 ล้านคน ซึ่งคำว่า Brazuca นี้ เป็นคำที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่น่าภูมิใจของชาวบราซิล และเป็นสิ่งที่จะทำให้โชคดีทุกอย่าง อย่างไรก็ตามลวดลายของลูกฟุตบอลนั้นยังไม่มีการประกาศออกมา

รวมภาพชุดแข่งทีมชาติสู้ศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายปี 2014

ฟุตบอลโลก 2014
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก fifanike เเละ adidas

          ขยับเข้ามาใกล้ทุกทีแล้วสำหรับมหกรรมดวลแข้งรายการฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง ศึกฟุตบอลโลกปี 2014 (World Cup 2014) ซึ่งจะจัดขึ้นที่ประเทศบราซิล และเพื่อให้อินกับกระแสบอลโลกที่กำลังมาอยู่ในขณะนี้ กระปุกดอทคอมเลยรวบรวมชุดแข่งของบรรดาทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายมาให้แฟนบอลได้ชม เป็นการอุ่นเครื่องล่วงหน้าก่อนที่การแข่งขันจะเปิดฉากในปีหน้า มาดูกันหน่อยดีกว่าว่าชุดแข่งของชาติใดจะสวยสดงดงามโดนใจคุณกันบ้าง

           บราซิล

ชุดบอลบราซิล

ชุดบราซิล 2014
          เริ่มด้วยเจ้าภาพบราซิลที่ยังคงเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยเสื้อสีเหลืองกางเกงสีน้ำเงินอยู่เหมือนเดิม แต่เพิ่มรายละเอียดลงไปด้วยสีเขียวที่ปลายแขนและคอปกเสื้อ เติมเต็มสีของธงชาติลงบนเสื้อได้เป็นอย่างสวยงามลงตัว นอกจากนี้ เหนือตราทีมชาติที่อกซ้ายก็ประดับดาว 5 ดวง ซึ่งหมายถึงแชมป์โลก 5 สมัยที่บราซิลทำได้นั่นเอง แล้วเรามาดูกันว่า ทีมแซมบ้าจะสามารถคว้าดาวดวงที่ 6 มาประดับอกซ้ายได้หรือไม่ โดยเสื้อของบราซิลในปีนี้ เป็นฝีมือการออกแบบของไนกี้ (Nike) ครับ

           อาร์เจนตินา



ชุดอาร์เจนตินา 2014
          ชาติที่เป็นตำนานของวงการฟุตบอลอีกทีมหนึ่ง โดยในปัจจุบันพวกเขาก็มียอดดาวเตะอันดับ 1 ของโลกอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ เป็นกุญแจสำคัญอยู่ ซึ่งพร้อมจะนำทัพนักเตะระดับโลกอีกมากมายลงสนามล่าถ้วย Jules Rimet กันอย่างพร้อมเพรียง ขณะที่ชุดแข่งของพวกเขาในปีนี้ ยังคงใช้สีฟ้าขาวซึ่งเป็นสีประจำธงชาติอาร์เจนตินาเป็นธีมหลักในการออกแบบชุดเหมือนเดิม เน้นความสะอาดตาด้วยเสื้อลายทางสีฟ้าขาวและกางเกงสีขาวจากอาดิดาส (Adidas) ซึ่งช่วยส่งให้พวกเขาดูโดดเด่นเวลาอยู่ในสนามมากเลยทีเดียว

           โคลัมเบีย

ชุดโคลัมเบีย 2014

ชุดโคลัมเบีย 2014
      
          อีกหนึ่งประเทศจากทวีปแอฟริกาใต้ที่ผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาได้ ซึ่งฝีเท้าของนักเตะแต่ละคนก็จัดว่าแจ่มไม่แพ้ใคร แถมยังคงลีลาการเล่นฟุตบอลที่ดุดัน ครองใจแฟนบอลในทุกยุคสมัย โดยฟุตบอลโลก ปี 2014 พวกเขาใช้เสื้อจากอาดิดาสที่ลงตัวด้วยพื้นหลังสีเหลืองพาดเส้นเฉียงสีดำพร้อมด้วยกางเกงสีขาวครับ

           เม็กซิโก

ชุดเม็กซิโก 2014

ชุดเม็กซิโก 2014
         
          ยอดทีมจากแดนลาตินอเมริกาที่ มีนักเตะ ฝีเท้าชั้นยอดมากมายมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในปีนี้พวกเขาเลือกใช้เสื้อจากอาดิดาสที่ออกแบบโดยเน้นความเข้มขรึมด้วยสีเขียวเข้ม พร้อมแขนเสื้อ และแถบข้างสีเขียวอ่อน ตรงกลางติดตราโลโก้ทีมพร้อมด้วยเส้นรูปสายฟ้าที่ดุดัน พร้อมพิชิตชัยให้ถึงที่สุดเลยล่ะ

           ฝรั่งเศส
ชุดฝรั่งเศส 2014

ชุดฝรั่งเศส 2014
        
          นอกจากจะเก่งเรื่องฟุตบอลแล้ว ฝรั่งเศสยังเป็นชาติผู้นำทางด้านแฟชั่นด้วย แน่นอนว่าชุดแข่งของพวกเขาจะต้องมีกลิ่นอายความเป็นผู้ริเริ่มด้านแฟชั่นอยู่ด้วย โดยไนกี้ได้ออกแบบชุดแข่งด้วยเสื้อสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากสีของกางเกงยีนส์ที่มีจุดเริ่มต้นที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งดูลงตัวเป็นอย่างดีกับกางเกงสีขาว และด้วยชุดแข่งที่เท่ขนาดนี้ แฟน ๆ ทีมตราไก่คงไม่พลาดที่จะต้องหามาเก็บไว้สักชุดแน่นอน

           สเปน

ชุดสเปน 2014

ชุดสเปน 2014
        
          แชมป์โลกทีมล่าสุดที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในหลายรายการที่ผ่านมา โดยในครั้งนี้ อาดิดาสยังคงเป็นผู้ออกแบบชุดแข่งให้เช่นเดิม โดยชุดใหม่ของพวกเขาโดดเด่นด้วยเสื้อและกางเกงสีแดงสดพร้อมลายทางแซมอยู่บาง ๆ หัวไหล่โดดเด่นด้วยแถบสามเส้น ตัวเลข และเส้นรอบตราสโมสรสีทอง นอกจากนี้ บนอกเสื้อด้านขวายังมีตราสีทองของ FIFA ที่แสดงถึงการเป็นผู้ครอบครองถ้วย Jules Rimet ทีมปัจจุบันอีกด้วย คราวนี้ก็ต้องมาลุ้นกันว่าทีมกระทิงดุจะสามารถรักษาแชมป์ไว้ได้อีกสมัยหรือไม่

           เยอรมนี

ชุดเยอรมนี 2014

ชุดเยอรมนี 2014
        
          ทีมอินทรีเหล็กที่หลายคนชื่นชอบรูปแบบการเล่นที่เป็นแบบแผนและเน้นความเฉียบขาด แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องใช้ชุดแข่งจากผู้ผลิตประจำชาติอย่างอาดิดาส โดยครั้งนี้ พวกเขามาพร้อมเสื้อและกางเกงสีขาว พร้อมด้วยแถบสีแดงแบ่งเป็น 3 โทนที่หน้าอกอันโดดเด่น หัวไหล่และด้านข้างลำตัวมีแถบสีดำดูเข้มลงตัว ใครที่เป็นสาวกทีมชาติเยอรมนีก็คงจะถูกใจเสื้อตัวนี้ไม่น้อยเลยล่ะ

           รัสเซีย

ชุดรัสเซีย 2014

ชุดรัสเซีย 2014
         
          อีกชาติหนึ่งที่ทะลุเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้สำเร็จ หลังจากที่ห่างหายไปตั้งแต่ปี 2002 ฟุตบอลโลกครั้งนี้จึงถือเป็นความภูมิใจของพวกเขามากทีเดียว โดยในปีนี้ชุดแข่งของรัสเซียออกแบบโดยอาดิดาส โดดเด่นด้วยเสื้อสีแดงเข้มพร้อมด้วยแขนและด้านข้างลำตัวสีเลือดหมู แถบสามเส้นมีสีทองและปลายเส้นมีรูปธงชาติที่ประกอบด้วยสีขาว ฟ้า แดง จัดเป็นเสื้อแข่งที่สวยและแสดงความเป็นชาติได้ดีเลยทีเดียว

           ญี่ปุ่น

ชุดญี่ปุ่น 2014

ชุดญี่ปุ่น 2014
       
          ซามูไรสีน้ำเงินเป็นหนึ่งในความภูมิใจของชาวเอเชีย โดยในครั้งนี้ อาดิดาสยังคงเป็นผู้ดูแลชุดแข่งของพวกเขาเช่นเดิม ทีมชาติญี่ปุ่นยังคงใช้เสื้อและกางเกงสีน้ำเงินอันเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา แต่เพิ่มความโดดเด่นด้วยแถบสีฟ้าสะท้อนแสงที่พุ่งออกมาจากสัญลักษณ์ของทีมบนอกซ้าย ปลายแขนเสื้อ และขากางเกงสะดุดตาด้วยสีส้ม นอกจากนี้ ด้านหลังยังเพิ่มความพิเศษด้วยแถบเส้นลายพู่กันสีส้ม เติมเต็มเอกลักษณ์ของชาติได้อย่างลงตัว

          ออสเตรเลีย

ออสเตรเลีย

ออสเตรเลีย

          แข้งแดนจิงโจ้ได้เผยชุดแข่งขันฟุตบอลโลกของพวกเขาออกมาแล้วเช่นกัน โดยมาในเสื้อสีเหลืองตกแต่งด้วยคอปกและปลายแขนเสื้อสีเขียว พร้อมกางเกงสีเขียว ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศเมื่อปี 1974 ซึ่งถึงแม้พวกเขาจะแพ้แต่ก็สร้างความประทับใจได้ไม่น้อย อีกทั้งในปกเสื้อยังมีข้อความของกัปตันทีมในการแข่งขันครั้งนั้นว่า We Socceroos can do the impossible ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปว่า ทีมออสซี่จะสร้างผลงานอันน่าทึ่งได้หรือไม่

          เกาหลีใต้

เกาหลีใต้

เกาหลีใต้
        
          ชุดแข่งใหม่ล่าสุดของทีมโสมขาวออกแบบและใช้เทคโนโลยีจาก ไนกี้ (Nike) โดยยังคงใช้เสื้อสีแดงเป็นหลัก เสริมด้วยแถบแขนสีน้ำเงิน คอปกแนบชิดติดคอ พร้อมด้วยกางเกงสีน้ำเงิน และถุงเท้าสีแดง ซึ่งนักออกแบบได้แรงบันดาลใจมาจาก แทกึก หรือรูปหยินหยางสีแดงและน้ำเงินบนธงชาติ แสดงถึงความสมดุลและกลมกลืนกันอันเป็นเอกลักษณ์ที่พาเกาหลีใต้คว้าชัยชนะในหลาย ๆ การแข่งขันที่ผ่านมา รวมทั้งในคอปกเสื้อยังมีตัวอักษรเกาหลี ซึ่งแปลว่าจิตวิญญาณนักสู้ เพื่อให้นักบอลแดนกิมจิฮึกเหิมเพื่อคว้าชัยในการแข่งขัน

          โครเอเชีย

ชุอบอลโครเอเชีย


          ชุดแข่งตราหมากรุกของทีมโครแอตในการแข่งขันครั้งนี้ ผลิตโดยไนกี้ (Nike) ผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬารายใหญ่ โดยเปิดตัวครบถ้วนทั้งชุดเหย้าและชุดเยือน แน่นอนว่าชุดเหย้าของพวกเขาจะต้องเป็นเสื้อตราหมากรุกสีแดง ส่วนแขนเสื้อเติมเต็มด้วยสีแดงสด ภายในเสื้อบริเวณคอมีข้อความเขียนว่า Budi Ponosan ซึ่งหมายความว่า จงภูมิใจในชาติของตน จับคู่กับกางเกงสีขาวและถุงเท้าสีน้ำเงิน ส่วนชุดเยือนทีมโครแอตยังคงเลือกใช้สีน้ำเงินเป็นหลักทั้งเสื้อ กางเกง และถุงเท้า แต่เติมแถบลายหมากรุกสีแดงที่หัวไหล่และด้านข้างของกางเกง เรียกได้ว่าเป็นรูปแบบดั้งเดิมที่แฟนบอลคุ้นเคย

          อิตาลี

ชุดบอลอิตาลี

ชุดบอลอิตาลี

          ทีมอัซซูรีเลือกให้พูม่า (Puma) ผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาชื่อดังผลิตและออกแบบชุดแข่งทั้งเหย้าและเยือน โดยชุดเหย้ามาพร้อมเสื้อคอปกสีน้ำเงินตกแต่งด้วยเส้นเว้าเข้าลำตัวสีขาว ปลายแขนมีสีธงชาติอิตาลีประกอบด้วยเขียวขาวแดง ส่วนหน้าอกมีตราสโมสรและโลโก้พูม่าสีเหลืองทอง เสื้อดังกล่าวจับคู่กับกางเกงสีขาวและถุงเท้าสีน้ำเงินขอบบนขาว ทางด้านของชุดเยือนอิตาลีเลือกใช้สีขาวตกแต่งด้วยเส้นตั้งสีน้ำเงิน ส่วนเส้นเว้าข้างใช้เป็นสีธงชาติ ปลายแขนใช้สีน้ำเงิน ซึ่งเสื้อเยือนจับคู่กับกางเกงสีน้ำเงินและถุงเท้าสีขาวขอบบนสีน้ำเงิน เรียกได้ว่าเห็นสีเห็นชุดนี้แล้ว ต้องจำกันได้แน่ ๆ ว่านี่คือยอดทีมแดนมักกะโรนี เพราะพวกเขาเลือกใช้สีที่แฟนบอลคุ้นเคยทั้งนั้น

          สหรัฐอเมริกา

ชุดบอลสหรัฐอเมริกา

ชุดบอลสหรัฐอเมริกา

          สหรัฐฯ เป็นอีกทีมหนึ่งที่ทะลุเข้ารอบสุดท้ายของฟุตบอลโลกอยู่บ่อยครั้ง และแน่นอนว่า ชุดแข่งของพวกเขาจะต้องเป็นฝีมือการออกแบบจากไนกี้ (Nike) แบรนด์เครื่องกีฬาชั้นนำของสหรัฐฯ โดยชุดแข่งของพวกเขาเป็นเสื้อคอโปโลในสีขาวคาดเส้นสีเทา ปลายแขนและคอปกสีแดง จับคู่กับกางเกงสีขาวติดแถบสีแดงด้านข้างและถุงเท้าสีขาว ซึ่งทั้งหมดได้แรงบันดาลใจมาจากชุดกีฬาในสมัยก่อนของชาวสหรัฐฯ โดยชุดดังกล่าวยังถูกออกแบบมาเพื่อทีมฟุตบอลหญิง ฟุตบอลเยาวชน หรือแม้แต่รุ่นยุวชนด้วย

          โปรตุเกส

โปรตุเกส

โปรตุเกส

โปรตุเกส

          โปรตุเกสเลือกให้ไนกี้ (Nike) เป็นผู้ผลิตชุดสำหรับแข่งขันในปีนี้ โดยยังคงเลือกใช้เสื้อคอวีโทนสีแดง ออกแบบผสมผสานระหว่างสีแดงสดกับสีแดงเลือดหมูอย่างลงตัว คอเสื้อมีสีเขียวอยู่ด้านใน ที่หน้าอกมีตราสัญลักษณ์ของทีม ปักปี 1914 และ 2014 ซึ่งเป็นปีก่อตั้งทีมและปีการแข่งขันซึ่งครบรอบ 100 ปีพอดี จับคู่กับกางเกงและถุงเท้าสีเลือดหมู ด้านชุดเยือนเน้นดีไซน์คลาสสิกทั้งรูปแบบและสีสัน ตัวเสื้อใช้สีขาว คอปกและปลายแขนสีน้ำเงิน ส่วนกางเกงสีน้ำเงิน และถุงเท้าสีขาว เสื้อเป็นแบบคอกลมมีกระดุมยาวลงมาถึงหน้าอก

          แคเมอรูน

แคเมอรูน

แคเมอรูน

          ทีมหมอผีได้ชุดแข่งใหม่ล่าสุดจากพูม่า (Puma) ผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาจากประเทศเยอรมนี ซึ่งชุดเหย้าของพวกเขายังคงเป็นเสื้อสีเขียวจับคู่กับกางเกงสีแดงและถุงเท้าสีเหลือง ส่วนชุดเยือนเป็นเสื้อสีเหลือง กางเกง เขียวและถุงเท้าสีแดง โดยจุดเด่นของชุดทั้งสองนอกจากสีสันที่สดใสแล้ว ยังมีลวดลายในแบบชนเผ่าพื้นเมืองของแอฟริกาอยู่บนเสื้อ เป็นรูปสิงโตพร้อมข้อความภาษาฝรั่งเศสว่า Les Lions Indomptable แปลว่า สิงโตผู้กล้าหาญ ซึ่งเป็นฉายาของทีมชาติแคเมอรูน ส่วนที่หน้าอกก็มีตราสัญลักษณ์ทีมชาติ และรูปสิงโตที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาด้วย

          อุรุกวัย

อุรุกวัย

อุรุกวัย

          ชุดแข่งของทีมจอมโหดอุรุกวัยได้รับการออกแบบและผลิตโดยพูม่า (Puma) ซึ่งเผยออกมาแล้วทั้งชุดเหย้าและชุดเยือน ชุดเหย้ายังคงเลือกใช้เสื้อสีฟ้าเป็นพื้นหลัก แซมด้วยเส้นสีทอง ส่วนกางเกงเป็นสีดำ ลงตัวกับถุงเท้าสีฟ้าขาว ด้านชุดเยือนพวกเขาเลือกใช้ชุดสีขาวล้วนทั้งเสื้อ กางเกง และถุงเท้า สอดแทรกเส้นสายสีฟ้าเติมสีสันได้สวยงาม บนหน้าอกของทั้งชุดเหย้าและชุดเยือนมีตราสัญลักษณ์ของทีมชาติล้อมกรอบด้วยสีทองเพิ่มความขลังให้กับเสื้อของยอดทีมได้ไม่น้อย

          อังกฤษ

อังกฤษ

อังกฤษ

          ชุดแข่งฟุตบอลของทีมชาติอังกฤษเป็นฝีมือการออกแบบของไนกี้ (Nike) ผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาชื่อดังจากสหรัฐฯ โดยชุดเหย้าของพวกเขาใช้สีขาวล้วนทั้งเสื้อ กางเกง และถุงเท้า ตัวเสื้อเป็นคอวีมีตราสิงโตบนหน้าอกข้างซ้าย เบอร์และชื่อของนักเตะใช้สีน้ำเงิน ที่หัวไหล่มีแถบสีเงิน ด้านในคอเสื้อมีตราธงชาติสีเงิน ส่วนชุดเยือนเลือกใช้เสื้อคอกลมสีแดง กางเกงสีขาว และถุงเท้าสีแดง โดยได้แรงบันดาลใจมาจากชุดเกราะของอัศวินในสมัยก่อน ด้านชุดเยือนใช้เสื้อสีแดง กางเกงสีขาว อันเป็นชุดที่สวมในนัดคว้าแชมป์โลกเมื่อปี 1966

          ได้ชมชุดแข่งของทีมชาติที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายในฟุตบอลโลกกันไปแล้ว จะเห็นได้ว่าแต่ละชุดต่างก็มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร แต่ไม่รู้ว่าแบบเสื้อต่าง ๆ เหล่านี้ จะถูกใจคอบอลมากน้อยขนาดไหน ยังไงก็ลองมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ แล้วปีหน้าก็เตรียมตัวหาเสื้อแข่งของทีมโปรดมาใส่เชียร์บอล เพื่อเพิ่มอรรถรสในการชมการแข่งขันให้สนุกมากยิ่งขึ้นกันนะครับ